CONTRACTUAL RIGHTS คำแปล : สิทธิตามสัญญา ความหมาย :
ประโยชน์ อำนาจกระทำการ ความคุ้มกัน ของบุคคลที่เกิดจากความยินยอมตกลงกันระหว่างบุคคล ในทางทฤษฎีสังคมการเมือง มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพในการคิด ตัดสินใจที่จะทำสัญญาผูกพันระหว่างกันในการที่จะแลกเปลี่ยนประโยชน์ หรือสิทธิของบุคคลรวมทั้งสิทธิในทรัพย์ ที่ตนเองมีอยู่ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตนเองมากที่สุด เสรีภาพในการทำสัญญาจึงเป็นช่องทางในการทำให้บุคคลได้บรรลุความต้องการของตนเอง ตัวอย่างเช่น บางคนมีเงินทุนแต่ขาดแรงงาน ในขณะที่บุคคลอีกคนหนึ่งมีแรงงานแต่ขาดเงินทุน ดังนั้นบุคคลทั้งสองคนจึงตกลงทำสัญญาแลกเปลี่ยนประโยชน์ระหว่างค่าจ้างกับแรงงานกัน เจ้าของเงินทุนก็จะได้แรงงานบุคคลที่เป็นเจ้าของแรงงานก็ได้ค่าจ้างจากการทำงานเมื่อบุคคลตัดสินใจตกลงทำสัญญาแล้วก็จะเกิดสิทธิและหน้าที่ต่อกัน สิทธินี้จึงเกิดจากสัญญาอันต่างจากสิทธิตามกฎหมายซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐรับรองสิทธินั้น โดยการออกกฎหมายเป็นการกำหนดสิทธิและหน้าที่โดยรัฐ มิใช่โดยความสมัครใจของบุคคลสิทธิตามสัญญา และเสรีภาพในการทำสัญญาได้รับการรับรองไว้ในกฎหมายทุกระบบ แม้แต่ในระบบสังคมนิยม โดยที่บุคคลอาจมีอำนาจต่อรองไม่เท่ากัน กฎหมาย จึงอาจเข้ามาแทรกแซงเสรีภาพในการทำสัญญาของบุคคล เพื่อรักษาคุณค่าบางประการของสังคม เช่น ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคม ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง เป็นต้น การแทรกแซงของรัฐโดยกฎหมายก่อให้เกิดสิทธิตามกฎหมายขึ้น สิทธินี้เรียกว่า “สิทธิตามกฎหมายบัญญัติ” (ดู STATUTORY RIGHTS) ซึ่งมีความหมายตรงกันข้ามกับสิทธิตามสัญญา |
CONVENTION คำแปล : อนุสัญญา ความหมาย :
อนุสัญญาใช้เรียกเอกสารความตกลงทางการที่มีลักษณะเป็นสนธิสัญญาพหุภาคี หรือเอกสารความตกลงที่ร่างขึ้นโดยองค์การหรือสถาบันระหว่างประเทศ ความตกลงเช่นนี้มุ่งให้มีลักษณะเป็นการสร้างกฎเกณฑ์ทางกฎหมายขึ้น หรือเป็นการประมวลกฎหมาย แต่มีบางกรณีที่ใช้คำว่าอนุสัญญาสำหรับความตกลงทวิภาคี โดยทั่วไปสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนจะอยู่ในรูปแบบของอนุสัญญาเนื่องจากเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีเกิดจากการริเริ่มศึกษาขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ เช่น คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ของสหประชาชาติ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือ องค์การอนามัยโลก แล้วนำไปสู่การยกร่างข้อบทและการเจรจาแบบพหุภาคี เมื่อสิ้นสุดการเจรจาและได้ข้อบทสุดท้ายแล้วก็จะมีการรับรอง (Adoption) โดยองค์กรนั้นๆ เพื่อนำไปสู่การให้สัตยาบัน (Ratify) ในขั้นตอนต่อไป |
CONVENTION ON BIOLOGICAL DIVERSITY คำแปล : อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ความหมาย :
อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ มีวัตถุประสงค์หลัก สามประการ คือ การอนุรักษ์ ความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้ทรัพยากรจากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน และการแบ่งปันอย่างเป็นธรรมในผลประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ทรัพยากรชีวภาพอนุสัญญาฉบับนี้เกิดขึ้นในการประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมโลก (Earth Summit) ณ นครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล เมื่อ ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) สมัชชาสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาได้จัดทำความตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญหลายฉบับด้วยกันรวมถึงอนุสัญญาสามฉบับที่เรียกรวมว่า “อนุสัญญารีโอเดจาเนโร” ประกอบด้วย อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพนับว่าเป็นความตกลงระดับโลกฉบับแรกที่ครอบคลุมประเด็นการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากความหลากหลายทางชีวภาพ ในการประชุมดังกล่าวประเทศไทยได้ลงนามรับรองอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และต่อมาได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับนี้เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546)และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ.2004 (พ.ศ. 2547) อนุสัญญาฯ มีภาคีทั้งหมด 193 ประเทศ กลุ่มความตกลงทางด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพระดับโลกที่สำคัญได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศพรรณพืชพรรณสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เพื่ออนุรักษ์พรรณพืช พรรณสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์อนุสัญญากรุงบอนน์ว่าด้วยการข้ามแดนของสายพันธุ์พืชและสัตว์อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนพิธีสารคาร์ทาเญนาว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลเพื่ออนุรักษ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลและที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยป่าไม้ เพื่อการอนุรักษ์ป่าไม้ |
CONVENTION ON THE ELIMINATION OF ALL FORMS OF DISCRIMINATION AGAINST WOMEN (CEDAW) คำแปล : อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ความหมาย :
อนุสัญญาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นานาประเทศยุติการเลือกปฏิบัติต่อสตรีอย่างไม่เป็นธรรม และให้หลักประกันว่าสตรีจะได้รับสิทธิประโยชน์และการมีโอกาสที่เท่าเทียมกับบุรุษ อนุสัญญานี้ได้รับการรับรองจากสมัชชาใหญ่ใน ค.ศ.1979 (พ.ศ. 2522) และมีผลใช้บังคับ ใน ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524) คำว่า การเลือกปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ หมายถึง "การแบ่งแยก (Distinction) การกีดกัน (Exclusion) หรือการจำกัด (Restriction) ใด ๆ ที่ได้ก่อตั้งบนพื้นฐานของเพศ"ในด้านต่าง ๆ จากรัฐบนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย และเนื่องจากการเลือกปฏิบัติดังกล่าวทำให้การมีหรือการใช้สิทธิมนุษยชนหรือสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของสตรีไม่ว่าในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เสื่อมเสีย อนุสัญญาฯ กำหนดให้ รัฐเลิกการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย เนื่องจากสาเหตุอันเป็นรากเหง้าของความไม่เท่าเทียมระหว่างชายหญิงโดยใช้มาตรการที่เหมาะสมทั้งปวงเพื่อปรับเปลี่ยนแบบแผน พฤติกรรมทางสังคม และวัฒนธรรมของชายหญิง เพื่อนำไปสู่การขจัดอคติและธรรมเนียมปฏิบัติอื่น ๆที่อยู่บนพื้นฐานความคิดเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางเพศที่อยู่บนพื้นฐานของบทบาทเดิมที่ไม่เท่ากันของชายหญิง อนุสัญญาฯได้จัดตั้ง คณะกรรมการว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีขึ้นประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจำนวนยี่สิบห้าคน เพื่อเป็นกลไกในการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีและมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายนพ.ศ.2528 (ค.ศ. 1985) |
CONVENTION ON THE RIGHTS OF PERSONS WITH DISABILITIES คำแปล : อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ความหมาย :
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการพร้อมด้วยพิธีสารเลือกรับ (Optional Protocol) ได้รับการรับรอง (Adopted)โดยสมัชชาใหญ่สหประชาชาติใน ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ใน ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) อนุสัญญาฉบับนี้เป็นสนธิสัญญาที่ได้รับรองสิทธิคนพิการอย่างรอบด้านทั้งสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม CRPD มุ่งที่จะส่งเสริมคุ้มครองและประกันให้คนพิการ ทั้งปวง ได้ใช้สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้งปวงอย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน โดยกำหนดให้รัฐภาคีห้ามการเลือกปฏิบัติทั้งปวงเพราะเหตุแห่งความพิการ และประกันให้คนพิการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิผล อนุสัญญาฯ ได้สนับสนุนให้รัฐใช้มาตรการเชิงยืนยันสิทธิ (Affirmative Actions) โดยประกันว่าจะจัดให้มีการช่วยเหลือที่สมเหตุสมผลเพื่อให้บรรลุถึงความเท่าเทียมกันในทางปฏิบัติ นอกจากนั้นอนุสัญญาได้กำหนดให้รัฐให้ความสำคัญแก่การเข้าถึงบริการและทรัพยากรของชาติได้อย่างเต็มที่ อนุสัญญาฉบับนี้ได้กำหนดให้จัดตั้ง คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการ (Committee on the Rights of Persons with Disabilities) ขึ้นประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจำนวนสิบสองคน (และอาจเพิ่มจำนวนถึงสิบแปดคนได้) เพื่อสอดส่องดูแลการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ประเทศไทยเข้าร่วมเจรจาและได้เข้าเป็นภาคีโดยการให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 30มีนาคม พ.ศ. 2551 (ค.ศ.2008) และได้ตั้งข้อสงวนโดยการทำถ้อยแถลงการณ์ตีความ (Interpretative Declaration) ข้อ 18 ว่าการตีความของอนุสัญญานั้นจะอยู่ภายใต้กฎหมายไทย และภายใต้กฎระเบียบ และแนวปฏิบัติของไทย |
CONVENTION ON THE RIGHTS OF THE CHILD คำแปล : อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ความหมาย :
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก หรือ CRC เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่รับรองสิทธิเด็กด้านต่างๆไว้อย่างกว้างขวาง CRC ได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่สหประชาชาติใน ค.ศ. 1989 ( พ.ศ. 2532)และมีผลใช้บังคับใน ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) อนุสัญญาฯ ได้ยอมรับว่าเด็กสามารถเป็นผู้ทรงสิทธิได้ด้วยตนเอง เป็นการเปลี่ยนความคิดดั้งเดิมที่เคยถือกันว่าเด็กเป็นเพียงเป้าหมายที่สิทธิมุ่งให้การคุ้มครองโดยเด็กจะมีหรือใช้สิทธิต่างๆ จะต้องผ่านทางบิดามารดา หรือผู้ปกครองเนื่องจากเด็กจำต้องพึ่งพิงบุคคลเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นบางสังคมถือว่าเด็กเป็นเสมือนทรัพย์สมบัติของครอบครัวหาได้เป็นผู้ทรงสิทธิ์ดังเช่นผู้ใหญ่ไม่ อนุสัญญาฯ ฉบับนี้ได้แจกแจงสิทธิด้านต่างๆ ของเด็กอย่างรอบด้าน โดยนิยามว่าเด็กคือบุคคลที่อายุต่ำกว่าสิบแปดปี หลักการสำคัญของอนุสัญญาฯ สี่ประการคือ หนึ่ง “หลักการห้ามเลือกปฏิบัติต่อเด็ก” โดยให้ความสำคัญแก่เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ หรือสีผิว นอกจากนั้นการห้ามเลือกปฏิบัติยังหมายถึงการไม่เลือกปฏิบัติระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ในสิทธิที่เด็กพึงได้รับ สอง “หลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก” ในการดำเนินการใดๆ ไม่ว่ากระทำโดยรัฐ หรือเอกชน ไม่ว่าโดยกฎหมาย นโยบาย หรือ การปฏิบัติต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นลำดับแรก สาม“หลักเด็กเป็นศูนย์กลางแห่งสิทธิ” ซึ่งหมายถึงเด็กมีสิทธิในการมีชีวิต มีสิทธิในการอยู่รอด และมีสิทธิในการพัฒนาทางด้านจิตใจ สังคม และอารมณ์ ดังนั้นรัฐจึงมีพันธกรณีที่จักต้องทำให้เด็กได้บรรลุถึงการมีสิทธิ CRC ถือเป็นตัวอย่างของการบูรณาการสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมือง และสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยการพิจารณาจากตัวบุคคลเป็นหลัก สี่ “หลักการมีส่วนร่วมของเด็ก” ซึ่งหมายถึงในการดำเนินการใดๆที่อาจกระทบต่อเด็ก จักต้องให้เด็กมีส่วนร่วมและจักเคารพต่อการตัดสินใจของเด็ก รัฐมีพันธกรณีต้องจัดทำรายงานการปฏิบัติตาม CRC ภายในสองปีนับจากเข้าเป็นภาคี และต้องเสนอรายงานฉบับต่อๆ ไปทุกสี่ปี ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ โดยการภาคยานุวัติใน ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) และขณะที่เข้าเป็นภาคีได้ตั้งข้อสงวนสามข้อ คือ ข้อ 7 เรื่องการจดทะเบียนการเกิดและการให้สัญชาติเด็กที่เกิดจากผู้ลี้ภัยหรือผู้อพยพในประเทศไทย ข้อ 22 เรื่องสถานะของผู้ลี้ภัยเด็ก ข้อ 29 (C) เรื่องสิทธิในการศึกษาของชนกลุ่มต่างๆ ที่สามารถดำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ภาษา และ ค่านิยมของเด็กได้ (ต่อมาประเทศไทยได้ถอนข้อสงวนข้อนี้ เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) |
CONVENTIONAL CRIMES คำแปล : อาชญากรรมแบบฉบับ ความหมาย :
การกระทำความผิดอาญา ซึ่งเป็นการกระทำอันเป็นความผิดทั่วไปในสังคมที่เกิดขึ้นทั่วไปในชีวิตประจำวัน อาชญากรรมเหล่านี้มีลักษณะที่ไม่ซับซ้อนมักกระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออย่างรุนแรง หรือส่งผลกระทบต่อสังคม เช่น การฆ่า ข่มขืนทำร้ายร่างกาย ลักขโมย ฉ้อโกง บางทีภาษาพูดจะเรียกความผิดประเภทนี้ว่า “ความผิดประเภทลัก วิ่ง ชิง ปล้น” เป็นต้น คำที่ตรงกันข้ามกับอาชญากรรมแบบฉบับ คือ อาชญากรรมนอกรูปแบบ (Non-Conventional Crimes) ได้แก่ อาชญากรรมอันเกิดจากการกระทำความผิดโดยตำแหน่งหน้าที่ทั้งภาคเอกชนและรัฐ เช่น อาชญากรรมทางธุรกิจ อาชญากรรมองค์กร ซึ่งบางทีเรียกว่า อาชญากรรมคอปกขาว (White Collar Crimes) ซึ่งมักเป็นการกระทำความผิดในทางหน้าที่ของบุคลากรระดับสูงขององค์กร หรือการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ นอกจากนั้น ยังมีความผิดในทางการเมือง (Political Crimes)ความผิดที่มีลักษณะเป็นองค์กร เช่น การฟอกเงิน การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และอาชญากรรมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นต้น |
CORE CRIMES คำแปล : อาชญากรรมหลัก ความหมาย :
อาชญากรรมหลักในความหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หมายถึงอาชญากรรมสำคัญที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติอย่างรุนแรงที่ถือว่าศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) มีอำนาจศาลเหนืออาชญากรรมเหล่านั้นโดยอัตโนมัติอาชญากรรมหลักภายใต้ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (Rome Statute of the International Criminal Court) มี 4 ประเภท คือ 1. อาชญากรรมสงคราม (War Crime) 2. อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (Crime Against Humanity) 3. อาชญากรรมที่เป็นการล้างเผ่าพันธุ์ (Crime of Genocide) 4. อาชญากรรมการรุกราน (Crime of Aggression) ปัจจุบันยังไม่ได้มีการกำหนดองค์ประกอบความผิดของ “อาชญากรรมการรุกราน” ดังนั้น ศาลจึงยังไม่มีอำนาจพิจารณาคดีอาชญากรรมนี้ อาชญากรรมหลักจึงแตกต่างจากอาชญากรรมระหว่างประเทศอื่น เช่น การค้ายาเสพติดข้ามแดน หรือการก่อการร้าย |
CORPORAL PUNISHMENT คำแปล : การลงโทษทางกาย ความหมาย :
การลงโทษทางกาย คือการลงโทษที่กระทำต่อร่างกายของบุคคล เช่น การเฆี่ยน การโบย การตัดมือ ซึ่งต่างกับการลงโทษโดยวิธีการจำกัดเสรีภาพ (เช่น จำคุก หรือกักขัง) หรือการลงโทษทางด้านทรัพย์สิน (เช่น ค่าปรับหรือการริบทรัพย์สิน การชดใช้ค่าเสียหาย) การลงโทษทางกายถือว่าขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนเพราะเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้แก่บุคคลถือว่าเป็นการลงโทษที่ลดทอนหรือทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสะท้อนแนวคิดการลงโทษแบบเก่า ในขณะที่แนวคิดยุคปัจจุบันเน้นไปที่การแก้ไขเยียวยา เพราะถือว่ามนุษย์สามารถพัฒนาได้ ในทางทฤษฎีการลงโทษประหารชีวิตถือว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงโทษทางกาย แต่กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศไม่ได้ห้ามโทษประหารเด็ดขาดจึงทำให้เกิดปัญหาว่า โทษประหารละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ อันแตกต่างไปจากการลงโทษทางกายประเภทอื่นที่ถือว่าขัดต่อสิทธิมนุษยชน การลงโทษโดยให้ทำงานหนักแม้ว่าจะขัดต่อมาตรฐานระหว่างประเทศก็ไม่ถือว่าเป็นการลงโทษทางกาย |
CORPORAL PUNISHMENT คำแปล : การลงโทษทางกาย ความหมาย :
การใช้มาตรการที่เป็นโทษทางอาญาที่กระทำต่อร่างกายของบุคคล เช่น การเฆี่ยนหรือโบย การตัดอวัยวะ เป็นต้น มักกระทำเพื่อให้เกิดความเจ็บปวด เพื่อประจาน เพื่อให้หลาบจำ หรือเพื่อทำให้เหยื่อของอาชญากรรมรู้สึกพึงพอใจ การลงโทษทางกายสะท้อนแนวคิดการลงโทษแบบแก้แค้นทดแทน ปัจจุบันแนวคิดของการลงโทษเน้นที่การแก้ไข ความประพฤติของผู้กระทำผิด เพื่อให้อยู่ร่วมกับสังคมได้ การลงโทษทางกายถือว่าเป็นการลงโทษที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ และขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชน |
CORPORATE CRIME คำแปล : อาชญากรรมที่เกี่ยวกับธุรกิจ ความหมาย :
การกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การพาณิชย์ หรือการเงิน หรือการกระทำที่อาศัยช่องทางที่สัมพันธ์กับอาชีพของตนแสวงหาประโยชน์เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมิชอบ ไม่ว่าจะทำโดยคนเดียว หรือสมคบกับบุคคลอื่น และการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น องค์กร หรือต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ลักษณะสำคัญของอาชญากรรมที่เกี่ยวกับธุรกิจ คือ เป็นการกระทำของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีตำแหน่ง หน้าที่การงาน มีความรู้ความสามารถ หรือ มีสถานภาพในสังคม คำอื่นที่มีความหมายเช่นเดียวกับอาชญากรรมที่เกี่ยวกับธุรกิจ เช่น Business Crime, Economic Crime อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ White-collar Crime |
CORPORATE RESPONSIBILITIES คำแปล : ความรับผิดชอบของบรรษัทต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ความหมาย :
ความรับผิดชอบของบรรษัท ซึ่งเป็นนิติบุคคลในทางพาณิชย์ต่อสิทธิมนุษยชน บางทีใช้คำว่า ความรับผิดชอบของบรรษัทต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน (Corporate responsibility for human rights violation)นับเป็นประเด็นใหม่ของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เนื่องจากการเน้นไปที่การควบคุมบรรษัทซึ่งถือว่าเป็น ผู้กระทำ (Actor) ไม่ให้ละเมิดสิทธิของประชาชน รัฐจะต้องปกป้องประชาชนจากการดำเนินธุรกิจของบรรษัทที่มีพฤติการณ์ซี่งอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยการควบคุมบทบาทของบรรษัทข้ามชาติ ในปัจจุบันจึงมีการพยายามสร้างประมวลความรับผิดชอบของบรรษัทขึ้น โดยเน้นการควบคุมพฤติกรรมการละเมิดดังกล่าว รัฐย่อมมีหน้าที่ในการออกกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ |
CORRUPTION คำแปล : การทุจริต ความหมาย :
ความหมายทั่วไปหมายถึง การใช้หรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่ อำนาจหรืออิทธิพลที่ตนมีอยู่โดยมิชอบเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง หรือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ทางการเงิน ตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือประโยชน์อื่น เช่น การรับสินบน ฉ้อราษฎร์บังหลวง รวมถึงการใช้ตำแหน่งหน้าที่อำนวยประโยชน์อย่างไม่ชอบธรรมโดยการเลือกที่รักมักที่ชัง เช่นการเห็นแก่ญาติพี่น้อง การใช้ระบบอุปถัมภ์และความไม่เป็นธรรมอื่น ๆ การทุจริต เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อธรรมาภิบาล บั่นทอนความเป็นธรรมของสังคมและขัดต่อหลักนิติธรรม นอกจากนั้นยังเกิดผลร้ายต่อสิทธิมนุษยชนทั้งในด้านสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม เนื่องจากการทุจริตนำไปสู่การลิดรอนความเป็นธรรมและความถูกต้องของสังคม ทรัพยากรของรัฐหรือผลประโยชน์ของสังคมอาจถูกนำไปจัดสรรให้คนบางคน หรือบางกลุ่มอันเนื่องมาจากนโยบายที่เกิดจากการทุจริต สหประชาชาติได้ให้ความสำคัญแก่ปัญหาการทุจริตโดยได้จัดทำกรอบกฎหมายและการดำเนินงานเพื่อการต่อต้านการทุจริต เช่น ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตและการติดสินบนขององค์กรธุรกิจระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 (United Nations Declaration against Corruption andBribery in International Commercial Transactions1996) และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2546 (Convention against Corruption2003) อย่างไรก็ตามกรอบกฎหมายดังกล่าวยังขาดความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาการทุรจิตกับสิทธิมนุษยชน ในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญาการทุจริต หมายถึงการทุจริตของผู้แทนของรัฐในการทำสนธิสัญญาการทุจริต ของตัวแทนรัฐดังกล่าวหมายถึงการประพฤติมิชอบของตัวแทนรัฐที่เกิดจากการกระทำของรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น รัฐอีกฝ่ายนั้นได้ให้สินบน (Bribery) หรือผลประโยชน์อื่นใดที่มิชอบ หรือสัญญาว่าจะให้ประโยชน์ใดๆแก่ตัวแทนรัฐนั้น จนทำให้ตัวแทนรัฐนั้นตกลงแสดงเจตนาผูกพันตามสนธิสัญญาทำให้ผูกพันรัฐเพราะเห็นแก่สินบน หรือผลประโยชน์ที่ได้รับการเสนอให้ จึงถือได้ว่ารัฐมิได้แสดงเจตนายินยอมผูกพันรัฐโดยสมัครใจ ซึ่งมิได้เป็นไปตามหลักการในการทำสนธิสัญญานี้รัฐจึงอ้างเหตุแห่งความไม่สมบูรณ์ในข้อนี้ไม่ได้ และรัฐภาคีดังกล่าวต้องผูกพันตามสนธิสัญญา |
COUNCIL OF EUROPE คำแปล : สภาแห่งยุโรป ความหมาย :
สภาแห่งยุโรปเป็นองค์การเพื่อความร่วมมือระดับภูมิภาคของรัฐในทวีปยุโรป มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันสงคราม และการขัดแย้งในยุโรป และเพื่อสร้างเอกภาพและความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมบนพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นมูลฐาน สภาแห่งยุโรปก่อตั้งเมื่อ ค.ศ.1949 (พ.ศ. 2492) โดยมีอุดมการณ์ทางการเมืองประชาธิปไตยเพื่อสกัดกั้นการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งเกิดขึ้นในขณะนั้น สภาแห่งยุโรปถือว่าสิทธิมนุษยชนเป็นภารกิจหลักของสภาแห่งยุโรปซึ่งได้มีการจัดตั้งและพัฒนากลไกทั้งทางด้านกฎหมายและกลไกทางด้านสถาบันต่างๆ เพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแบบประชาธิปไตยที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในบรรดาระบบการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ สภาแห่งยุโรปมีองค์กรหลักสามองค์กรคือ 1. คณะกรรมการรัฐมนตรี (Committee of Ministers) ประกอบด้วยผู้แทนจากรัฐสมาชิกทุกรัฐมีหน้าที่ในการตัดสินใจที่มีผลผูกพันองค์กร 2. ที่ประชุมสมาชิกรัฐสภายุโรป(Parliamentary Assembly) ประกอบด้วยตัวแทนที่มาจากการเสนอแต่งตั้งจากรัฐสภาของแต่ละประเทศโดยมีจำนวนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับสัดส่วนของจำนวนของประชากรของแต่ละประเทศ มีหน้าที่ในการศึกษาและทำคำเสนอแนะด้านต่างๆ ไปยังคณะกรรมการรัฐมนตรีและสอดส่องดูแลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในยุโรป 3. สำนักเลขาธิการ (Secretariat) มีหน้าที่ในการบริหารงานทั้งปวงของสภาแห่งยุโรปรวมทั้งการจัดทำแผนงานและโครงการต่างๆทางด้านสิทธิมนุษยชน กลไกในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของสภาแห่งยุโรปที่สำคัญคืออนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นมูลฐาน (European Convention on Human Rights and Fundamental Freedoms) และกฎบัตรสังคมยุโรป (European Social Charter) อนึ่ง มักมีผู้เข้าใจสับสนระหว่าง “สภาแห่งยุโรป Council of Europe” กับ “European Council หรือ คณะมนตรียุโรป ซึ่งเป็นองค์กรย่อยของ สหภาพยุโรป (European Union) ซึ่งเป็นคนละองค์กร |
COUP D’ ETAT (French) คำแปล : รัฐประหาร ความหมาย :
รัฐประหารคือการใช้กำลังหรือใช้วิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายล้มล้างรัฐบาลหรือคณะผู้ใช้อำนาจบริหารแผ่นดิน รัฐประหารแตกต่างกับการปฏิวัติ (Revolution) ในข้อที่ว่าการปฏิวัติเป็นการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือโครงสร้างทางการเมืองและทางสังคมของประเทศแต่รัฐประหารเป็นเพียงการล้มล้างอำนาจปกครองเดิม |
COURT OF FIRST INSTANCE คำแปล : ศาลชั้นต้น ความหมาย :
ศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเป็นศาลแรกเว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดเป็นอย่างอื่น โดยทั่วไปศาลชั้นต้นจะมีหน้าที่สืบพยานหลักฐาน ส่วนศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะไม่มีการสืบพยานหลักฐานบางทีเรียกศาลชั้นต้นนี้ว่า “ศาลที่ไต่สวนพยานหลักฐาน (Trial Court)” ในประเทศไทย ศาลชั้นต้นมีชื่อเรียกต่างกัน เช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญาศาลจังหวัด และศาลแขวง เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีศาลพิเศษที่มีอำนาจพิจารณาคดีเฉพาะประเภท เช่น ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากรกลาง และศาลเยาวชนและครอบครัว เป็นต้น |
COURT OF JUSTICE คำแปล : ศาลยุติธรรม ความหมาย :
สถาบันหลักสถาบันหนึ่งของสังคมในระบอบประชาธิปไตยมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวกับคดีแพ่งและคดีอาญาทั้งปวง ส่วนคดีปกครองและคดีเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญจะไม่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ศาลยุติธรรมมีสามชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา 1. ศาลชั้นต้น ได้แก่ ศาลที่รับพิจารณาคดีในชั้นแรก เช่น ศาลแพ่งและศาลอาญา ศาลแขวง หรือศาลจังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งศาลที่มีอำนาจพิเศษเฉพาะคดี เช่น ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงานศาลภาษีอากรกลาง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย เป็นต้น 2. ศาลอุทธรณ์ เป็นศาลชั้นกลางมีอำนาจหน้าที่ทบทวนคำวินิจฉัยคดีแพ่ง หรือคดีอาญาที่ผ่านการพิจารณาจากศาลชั้นต้นมาแล้วศาลอุทธรณ์จะไม่มีการสืบพยานหลักฐานใหม่ แต่จะพิจารณาจากสำนวนพยานหลักฐานที่ได้จากศาลชั้นต้น และคำคู่ความที่ยื่นขึ้นมา ศาลอุทธรณ์มีสองประเภท คือ ศาลอุทธรณ์ มีที่ตั้งอยู่ณ กรุงเทพมหานคร และศาลอุทธรณ์ภาค ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ อีกแปดศาล 3. ศาลฎีกา เป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุดมีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายของคดีที่ผ่านการพิจารณาจากศาลอุทธรณ์มาแล้ว แต่มีกรณียกเว้น คือ ในคดีความผิดอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลฎีกาจะมีหน้าที่ในการไต่สวนพยานหลักฐานเสมือนศาลชั้นต้น ศาลฎีกามีเพียงแห่งเดียวตั้งอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร ศาลยุติธรรมเป็นกลไกสำคัญกลไกหนึ่งในการเคารพ ปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เนื่องจากสิทธิมนุษยชนเป็นเกณฑ์คุณค่าของสังคมที่มักขาดความชัดเจนและมีการทับซ้อนกันระหว่างสิทธิและหน้าที่ หรือระหว่างผู้ที่กล่าวอ้างสิทธิต่างประเภทกัน ในระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) เช่น ประเทศไทย สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานจะถูกรับรองไว้โดยรัฐธรรมนูญและกฎหมายลำดับรอง การตีความกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของบุคคลจึงมีความสัมพันธ์กับความเข้าใจของผู้พิพากษาที่ตีความเนื้อหาสาระและขอบเขตของสิทธิมนุษยชนอย่างมากเป็นต้น อนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คำว่าศาลยุติธรรมหมายความรวมถึง ศาลปกครอง และศาลทหารด้วย |
CRIME AGAINST HUMANITY คำแปล : อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ความหมาย :
อาญากรรมต่อมนุษยชาติเป็นการกระทำความผิดทางอาญาร้ายแรงที่สุดประเภทหนึ่งที่กระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ความผิดนี้แรกเริ่มได้กำหนดขึ้นในธรรมนูญศาลทหารพิเศษ (Charter of the International Military Tribunal)หรือที่รู้จักกันในนาม ธรรมนูญของศาลอาชญากรรมสงครามแห่งนูเรมเบอร์ก ที่จัดตั้งศาลทหารขึ้นเพื่อพิจารณาคดีอาชญากรรมของผู้นำนาซีเยอรมันในค.ศ. 1945(พ.ศ. 2488)แม้ภายหลังได้พัฒนามาเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศแต่อย่างไรก็ตามลักษณะและองค์ประกอบลักษณะรายละเอียดของความผิดฐานนี้ยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อมีการรับรองธรรมนูญกรุงโรม (Rome Statute)ในค.ศ.1998 (พ.ศ. 2541)ความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจึงชัดเจนขึ้น โดยธรรมนูญกรุงโรมได้จำแนกองค์ประกอบความผิดที่ยอมรับกันอยู่เดิมเป็นสามประการด้วยกัน คือ 1. ต้องเป็น "การกระทำที่เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีเข่นฆ่าสังหารทั่วไปและอย่างเป็นระบบ" 2. ต้องรู้ว่าเป็นการกระทำต่อเป้าหมายที่เป็นประชากรพลเรือน 3. ต้องเป็นการกระทำเพื่อให้บรรลุถึงการดำเนินการตาม "นโยบายของรัฐหรือขององค์กร" นอกจากองค์ประกอบด้านจิตใจ (หรือเจตนา) ธรรมนูญได้กำหนดองค์ประกอบภายนอก (ลักษณะการกระทำ) ที่ถือว่าเป็นความผิด ไว้ 11 ประเภทด้วยกัน อาชญากรรมต่อมนุษยชาติอาจจะเป็นการกระทำตามนโยบายขององค์กร เช่น กลุ่มกบฏ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับฝ่ายรัฐบาลก็ได้ นอกจากนั้น อาชญากรรมต่อมนุษยชาติอาจกระทำในยามสงบหรือในยามสงครามก็ได้ |
CRIME OF AGGRESSION คำแปล : อาชญากรรมการรุกราน ความหมาย :
ความผิดอาญาระหว่างประเทศร้ายแรงประเภทหนึ่งที่นับเป็นความผิดสำคัญอยู่ในอำนาจดำเนินคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ดู Core Crimes) เนื่องจากในการร่างธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศใน ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) ประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับคำนิยามของคำว่า อาชญากรรมการรุกรานได้ ศาลอาญาระหว่างประเทศจึงยังไม่มีอำนาจพิจารณาได้ ต่อมาใน ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) ที่ประชุมสมัชชารัฐภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศ มีขึ้น ณ กรุงคัมพาลา ประเทศยูกันดา ได้รับรองคำนิยามคำว่า อาชญากรรมการรุกราน ในบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมธรรมนูญแห่งกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ มาตรา 8 ทวิ ตามธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ คำว่า “อาชญากรรมการรุกราน” หมายถึง การวางแผน การตระเตรียมการ การริเริ่มหรือการดำเนินการกระทำโดยบุคคลซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ใช้อำนาจอย่างแท้จริงในการควบคุมทางการเมืองหรือทางทหารของรัฐ ในการรุกรานอันเป็นการกระทำที่มีลักษณะการกระทำและความรุนแรงขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติอย่างชัดแจ้ง ส่วนคำว่า “การกระทำที่เป็นการรุกราน” หมายถึง การใช้กองกำลังรบซึ่งกระทำโดยรัฐกระทำต่ออธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ความเป็นเอกราชทางการเมืองของอีกรัฐหนึ่ง หรือการกระทำอื่นใดที่ขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ อนึ่ง ความผิดฐานอาชญากรรมการรุกรานนี้ยังไม่มีผลใช้บังคับ เนื่องจากรัฐภาคีธรรมนูญศาลยังไม่ได้ให้สัตยาบันครบจำนวนสามสิบประเทศ(ดู RATIFY) |
CRIME VICTIM / VICTIM OF CRIME คำแปล : เหยื่ออาชญากรรม ความหมาย :
บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญา ในทางนิติศาสตร์และอาชญาวิทยา บุคคลที่เป็นเหยื่อของอาชญากรรมคือ บุคคลที่ถูกกระทำโดยตรง ส่วนสังคมมิใช่เหยื่ออาชญากรรม แต่สังคมได้รับผลกระทบโดยอ้อมจากอาชญากรรม การตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมมีเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ประสิทธิภาพของระบบยุติธรรมทางอาญาอันประกอบด้วย ตำรวจ ศาล และราชทัณฑ์ ความสัมพันธ์ระหว่างเหยื่อและอาชญากรรม ตลอดจนโอกาสของการก่ออาชญากรรม เป็นต้น ในด้านสิทธิมนุษยชน ผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมที่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เช่น ถูกฆ่า ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกลักทรัพย์ หรือถูกเหยียดสีผิว ถือว่ารัฐบกพร่องต่อหน้าที่ในการประกันสิทธิเสรีภาพดังนั้นรัฐจึงต้องมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เหยื่อได้รับการเยียวยาจากการกระทำความผิดอาญา หลายประเทศได้มีมาตรการเกี่ยวกับการชดเชยความเสียหายให้กับเหยื่อที่ถูกกระทำความผิดทางอาญา การชดเชยความเสียหายให้เหยื่ออาชญากรรมโดยรัฐ เริ่มมาจากแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการซึ่งเป็นการช่วยเหลือทางการเงิน (Compensation) ต่อผู้เสียหาย ต่อมาได้ขยายไปถึงการช่วยเหลือเหยื่อ (Victim Assistance) รูปแบบอื่น ประเทศไทย ได้มีพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001)ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้นิยามคำว่า “ผู้เสียหาย” ไว้อย่างแคบ หมายถึง“บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต หรือร่างกาย หรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น โดยที่ตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดนั้น” ตามความหมายนี้ เหยื่ออาชญากรรมที่ได้รับความเสียหายทางด้านทรัพย์สิน เช่น การฉ้อโกง ลักทรัพย์ หรือความเสียหายต่อเสรีภาพ เช่นการข่มขู่ หรือลักตัวไปเรียกค่าไถ่ หรือถูกเหยียดหยามเรื่องสีผิว จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายที่จะได้รับค่าตอบแทน |
สงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons • ดูรายละเอียดสัญญา
© 2018 ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ