PLEADING คำแปล : 1. คำให้การรับหรือปฏิเสธความผิดตามฟ้อง (คดีอาญา) 2. คำคู่ความ (คดีแพ่ง) ความหมาย :
1. คำให้การรับหรือปฏิเสธความผิดตามฟ้อง ใช้ในคดีอาญาเป็นถ้อยคำที่จำเลยแถลงต่อศาลในตอนต้นของกระบวนการพิจารณาคดีในการดำเนินคดีอาญาเมื่อศาลรับคำฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยกระทำผิดอาญาแล้วศาลจะอ่านข้อกล่าวหาให้จำเลยฟัง และถามจำเลยว่าได้กระทำความผิดตามคำฟ้อง หรือไม่ เพื่อให้จำเลยให้การรับหรือปฏิเสธ ถ้าจำเลยให้การยอมรับผิดตามฟ้องก็จะใช้ “Plead Guilty” ถ้าจำเลยให้การว่า ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องก็จะใช้ “Plead Innocence” ในคดีอาญา ถึงแม้ว่าจำเลยจะให้การยอมรับผิด แต่ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำตั้งแต่ห้าปี หรือโทษที่สูงกว่า โจทก์ยังต้องมีหน้าที่นำสืบให้ศาลเชื่ออย่าง “ปราศจากข้อสงสัย (Beyond Doubt)” ว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง ถ้าโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ ศาลก็จะพิพากษาว่าจำเลยไม่ผิด และปล่อยจำเลย \ 2. คำคู่ความ (คดีแพ่ง) หมายถึง เอกสารใดๆ ที่โจทก์ หรือจำเลยได้ยื่นแก่ศาลเพื่อประกอบในสำนวนคดีในการดำเนินการพิจารณาคดี |
POLICE CUSTODY คำแปล : อยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ ความหมาย :
อำนาจในการบังคับบุคคลโดยการจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหวการควบคุมตัวจะต้องกระทำโดยอำนาจของกฎหมาย นับตั้งแต่เวลาที่ถูกจับกุมตัว การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวอาจกระทำโดยการจับกุม หรือการควบคุมตัวที่กระทำโดยหมายศาล หรือเป็นการจับกุมบุคคลที่กระทำผิดซึ่งหน้าดังนั้นไม่ต้องมีหมายจับ (ดู ARREST) การควบคุมตัวมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภยันตรายที่บุคคลที่ถูกควบคุมตัวอาจก่อขึ้น และเพื่อนำตัวบุคคลนั้นเข้าสู่กระบวนการพิจารณาดำเนินคดีโดยศาล เพื่อเป็นการป้องกันอาชญากรรมทำให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันทำให้สังคมมั่นใจว่าบุคคลที่ก่ออาชญากรรมจะต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นกรณีที่ไม่ปรากฏว่าบุคคลนั้นจะก่ออันตรายขึ้น หรือได้สอบสวนบุคคลนั้นได้ข้อมูลที่พอเพียงในการดำเนินคดีแล้ว ควรจะต้องปล่อยตัวบุคคลที่ถูกควบคุมตัวไป ซึ่งอาจปล่อยโดยให้มีหลักประกัน (ดู RELEASE ON BAIL) |
POLLUTER PAYS PRINCIPLE คำแปล : หลักการเก็บภาษีจากผู้ก่อมลพิษ ความหมาย :
หลักการเก็บภาษีจากผู้ก่อมลพิษเป็นแนวคิดภายใต้หลักกฎหมายสิ่งแวดล้อม บัญญัติขึ้นเพื่อกำหนดความรับผิดให้ผู้ก่อมลภาวะต้องรับผิดชอบต่อการก่อให้เกิดมลพิษที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติหลักการนี้ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) นอกจากนี้หลักการดังกล่าวยังได้รับการบรรจุในข้อ16 ของปฏิญญารีโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ผู้ก่อมลพิษต้องเสียภาษีเพื่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ (Ecological Taxation) เช่น การเสียภาษีในการทำความสะอาด และกำจัดขยะมีพิษอันตราย เสียภาษีในการซื้อโควตาคาร์บอนที่ปลดปล่อยสู่บรรยากาศเกินกว่าระดับที่ได้กำหนดไว้หรือการเสียภาษีชดเชยคาร์บอนข้ามแดน (Border Carbon Adjustment – BCA) ปัญหาของการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวนี้ อยู่ที่การเคลื่อนย้ายฐานการผลิตจากประเทศที่พัฒนาแล้วและมีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างเข้มงวด มาลงทุนยังประเทศกำลังพัฒนาทำให้ประเทศเหล่านี้ต้องกลายเป็นแหล่งปลดปล่อยคาร์บอน แม้ผู้รับภาระภาษีดังกล่าวเป็นผู้ผลิต แต่ผู้ผลิตย่อมโยกต้นทุนทางด้านภาษีไปยังผู้บริโภคต่อไป ในขณะที่ผู้ได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะย้อนกลับไปประเทศที่เป็นแหล่งที่มาของการลงทุน ปัญหานี้ย่อมกระทบต่อสิทธิมนุษยชนในแง่ของประชาชนในประเทศที่ยากจนอันเป็นฐานที่ตั้งของอุตสาหกรรมเหล่านี้ ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีคุณภาพ |
POSITIVE RIGHTS คำแปล : สิทธิเชิงบวก ความหมาย :
สิทธิเชิงบวก เป็นแนวคิดหรือทฤษฎีทางกฎหมาย / รัฐศาสตร์ ที่เห็นว่าสิทธิมนุษยชนสามารถจำแนกเป็นสองประเภทคือ สิทธิเชิงบวก และสิทธิเชิงลบ (ดูNegative Rights) สิทธิเชิงบวก หมายถึงสิทธิมนุษยชนซึ่งก่อพันธะหน้าที่ให้ผู้มีหน้าที่ (Duty Bearers) ไม่เพียงแต่หน้าที่ในการไม่แทรกแซง ยุ่งเกี่ยวกับผู้ทรงสิทธิ (Right Holders) หรือต้องหลีกเลี่ยงการละเมิดเท่านั้น แต่รัฐยังต้องกระทำการเพื่อให้ผู้ทรงสิทธิได้บรรลุถึงการมีและใช้สิทธิ เช่น การใช้มาตรการที่เป็นการยืนยันสิทธิ (Affirmative Measures) เช่น การที่รัฐมีนโยบายให้การศึกษาแบบให้เปล่าแก่เด็กทุกคน หรือการจัดโครงการให้ทุนยืมเรียนในระดับอุดมศึกษาถือว่าเป็นภาระหน้าที่ในการทำให้บรรลุถึงสิทธิในการศึกษา ตามแนวคิดสิทธิมนุษยชนแบบเดิมเห็นว่าสิทธิตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR) เป็นสิทธิเชิงบวก ส่วนสิทธิตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) เป็นสิทธิเชิงลบอันเป็นเหตุให้การจัดทำตราสารสิทธิมนุษยชนแบ่งแยกเป็นสองฉบับ ในปัจจุบันแนวคิดการแบ่งแยกสิทธิมนุษยชนระหว่าง “สิทธิเชิงบวก” กับ “สิทธิเชิงลบ” ไม่ค่อยได้รับการยอมรับ (ดูเปรียบเทียบ Negative Rights) ตามความเห็นของคณะกรรมการสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รัฐมีพันธะหน้าที่ต้องทำให้สิทธิบรรลุถึงความเป็นจริงอย่างคืบหน้า กล่าวคือรัฐต้องส่งเสริมสิทธิในการมีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น มีอาหาร ยารักษาโรค ที่พักอาศัย และเครื่องนุ่งห่ม จัดทรัพยากรมาส่งเสริมให้ผู้ทรงสิทธิได้บรรลุถึงการมีสิทธิอย่างแท้จริง สิทธิประเภทนี้จึงสัมพันธ์กับทรัพยากรที่มี ดังนั้นจึงอาจต้องอาศัยความร่วมมือ และแสวงหาทรัพยากรมาจากหลายส่วน รัฐอาจมีหน้าที่ในเบื้องต้นเท่าที่รัฐจะสามารถจัดให้ได้ นอกจากนั้นรัฐอาจแสวงหาความร่วมมือจากประชาคมโลกเพื่อให้เกิดการบรรลุถึงความเป็นจริงอย่างคืบหน้า |
PRE-TRIAL DETENTION คำแปล : การคุมขังก่อนการพิจารณาคดี ความหมาย :
การจำกัดเสรีภาพของผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยให้อยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงานสอบสวนก่อนที่จะมีการนำตัวผู้ต้องหามาไต่สวนดำเนินคดีในศาลการคุมขังก่อนการพิจารณาจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพิจารณาที่บุคคลถูกควบคุมตัวโดยฝ่ายบริหาร บุคคลที่ถูกคุมขังตัวก่อนการพิจารณายังไม่ใช่ผู้กระทำผิด ดังนั้นจึงปฏิบัติต่อบุคคลที่ถูกควบคุมตัวเสมือนนักโทษมิได้ และการคุมขังจะต้องแยกจากนักโทษที่ถูกพิพากษาความผิดแล้ว ปกติในการคุมขังก่อนการพิจารณาผู้ต้องหาจะถูกควบคุมตัวในห้องขังของเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งอาจเป็นสถานีตำรวจ หรือศูนย์ควบคุมตัวก่อนการพิจารณาที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ วัตถุประสงค์ของการคุมขังบุคคลในขั้นตอนนี้มีขึ้นเพื่อการสอบสวนผู้กระทำผิดและเพื่อทำให้มั่นใจว่าในการฟ้องจะมีตัวจำเลยปรากฏต่อศาล การคุมขังระหว่างรอการพิจารณามีขึ้นเนื่องจากผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาไม่สามารถหาหลักประกันเพื่อประกันตัวในการปล่อยตัวชั่วคราว หรือเป็นผู้ที่ศาลเห็นว่าไม่สมควรให้ประกันตัว (ดู RELEASE ON BAIL) ระยะเวลาในการคุมขังจะต้องให้สั้นที่สุดซึ่งมักกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังนั้นเพื่อป้องกันฝ่ายบริหารควบคุม /คุมขังบุคคลโดยมิชอบ หรือโดยไม่มีเหตุอันควร กฎหมายจึงมักกำหนดให้ศาลเป็นผู้พิจารณาเหตุผลของฝ่ายบริหารในการขยายระยะเวลาการคุมขังตัวบุคคล ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยกำหนดให้เจ้าพนักงานสอบสวนมีอำนาจคุมขังผู้ต้องหาไว้เพื่อการสอบสวนคดีได้ไม่เกินกว่าสี่สิบแปดชั่วโมง นับแต่เวลาที่มาถึงสถานีตำรวจ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเพื่อทำการสอบสวนหรือเหตุจำเป็นอย่างอื่น จะยืดระยะเวลาได้ไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง (เท่าที่จำเป็น) แต่รวมกันแล้วต้องไม่ให้เกินสามวัน ถ้ามีความจำเป็นที่จะควบคุมผู้ถูกจับเกินกว่าสามวัน เพื่อให้การสอบสวนเสร็จสิ้น พนักงานสอบสวนหรืออัยการ ต้องยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลศาลอาจเรียกพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนมาชี้แจงเหตุจำเป็นหรืออาจเรียกพยานหลักฐานมาเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได้ โดยใช้อัตราโทษคดีที่ถูกกล่าวหาเป็นเกณฑ์กำหนดระยะเวลาคุมขัง ดังนี้ • ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินหกเดือน ศาลมีอำนาจสั่งขังได้ครั้งเดียว มีกำหนดไม่เกินเจ็ดวัน • ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่าหกเดือนแต่ไม่ถึงสิบปี ศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติด ๆ กันได้แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินสี่สิบแปดวัน • ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไปศาลมีอำนาจสั่งขังหลายครั้งติดๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินแปดสิบสี่วัน ขั้นตอนการคุมขังที่เกินอำนาจเจ้าพนักงานสอบสวนนี้ เรียกว่า“การฝากขัง” โดยผู้ต้องหาจะอยู่ภายใต้อำนาจของศาล ซึ่งปกติเจ้าพนักงานสวบสวนนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังไว้ที่ทัณฑสถาน |
PREAMBLE คำแปล : อารัมภบท / คำปรารภ ความหมาย :
ข้อความส่วนต้นของหนังสือ หรือเอกสารที่เป็นการเกริ่นนำเพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ และเนื้อหาของหนังสือ หรือเอกสาร อารัมภบท / คำปรารภ ในกฎหมาย หรือตราสารสิทธิมนุษยชนมักจะกล่าวถึงหลักการ วัตถุประสงค์ เจตนารมณ์ของกฎหมาย หรือตราสารที่จัดทำขึ้น เช่น อารัมภบทของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนส่วนหนึ่งกล่าวว่า “ด้วยเหตุที่การยอมรับศักดิ์ศรีประจำตัว และสิทธิซึ่งเสมอกัน และไม่อาจโอนแก่กันได้ของสมาชิกทั้งปวงแห่งครอบครัวมนุษย์เป็นรากฐานของเสรีภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพ...ดังนั้นบัดนี้สมัชชาจึงประกาศให้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนนี้เป็นมาตรฐานร่วมแห่งความสำเร็จสำหรับประชาชนทั้งหลายและประชาชาติทั้งปวง...” อารัมภบท / คำปรารภ มีความสำคัญในการตีความกฎหมาย หรือเอกสารตราสารเพราะเป็นส่วนที่แสดงเจตนารมณ์ในการตรากฎหมาย หรือจัดทำตราสารฉบับนั้น |
PREJUDICE คำแปล : อคติ ความหมาย :
อคติ ถือเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาความเสมอภาคของบุคคลในกระบวนการบังคับใช้สิทธิโดยรัฐ และการบังคับตามสิทธิโดยตุลาการ เนื่องจากอคติเป็นการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลหรือกลุ่มเสี่ยง ด้วยเหตุแห่งความแตกต่างทางสถานภาพอันเนื่องมาจากเชื้อชาติ ศาสนา ลัทธิความเชื่อ สถานะทางเศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ อันเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เช่น การมีอคติทางเพศในคำพิพากษาเกี่ยวกับเพศ การมีอคติต่อคนต่างด้าวในกระบวนการยุติธรรม ทำให้เสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิ |
PRELIMINARY EXAMINATION คำแปล : การไต่สวนมูลฟ้อง ความหมาย :
กระบวนพิจารณาคดีความอาญาในขั้นต้นของการนำคดีสู่ศาลเพื่อให้ฝ่ายตุลาการได้ใช้อำนาจพิจารณาพยานหลักฐานเบื้องต้น ว่ามีมูลแห่งคดีที่จะรับคำฟ้องไว้พิจารณาความผิดของจำเลยได้หรือไม่ ในชั้นนี้จะไม่มีการพิจารณาตัดสินความผิดและไม่มีการเรียกจำเลยมาให้การไต่สวน แต่ผู้ที่พิจารณาไต่สวนมูลฟ้องจะพิจารณาแต่เพียงพยานหลักฐานของโจทก์ว่าพอเชื่อได้หรือไม่ว่ามีการกระทำความผิดอาญาขึ้นถ้าผู้ไต่สวนมูลฟ้องเห็นว่าไม่เป็นความผิดก็จะสั่งจำหน่ายคดี หรือยกฟ้อง แต่ถ้าเห็นว่ามีการกระทำความผิดอาญาก็สั่งรับเรื่องไว้พิจารณาไต่สวน หรือรับรองคำฟ้องชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อให้โจทก์นำไปฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจต่อไป กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของประเทศต่าง ๆ ได้กำหนดวิธีการไต่สวนมูลฟ้องแตกต่างกัน เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาในความผิดบางประเภท อัยการจะต้องยื่นคำฟ้องชั้นไต่สวนมูลฟ้อง (ดู BILL OFINDICTMENT) ต่อคณะลูกขุนใหญ่ (Grand Jury) เพื่อให้รับรองคำฟ้องก่อนที่จะฟ้องศาลเพื่อพิจารณาคดี ในประเทศอังกฤษโจทก์ต้องยื่นคำฟ้องประเภทนี้ต่อศาลมาจิสแทรท (Court of Magistrate) เพื่อให้รับรองก่อนยื่นคำฟ้องต่อศาล ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court) กำหนดให้อัยการศาลมีหน้าที่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนจะรับคำฟ้อง ส่วนศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (European Court of Human Rights) มีกระบวนการคล้ายกับการไต่สวนมูลฟ้องแต่เรียกว่า “การพิจารณารับเรื่องร้องเรียน” (ดูADMISSIBILITY) ซึ่งทำโดยผู้พิพากษาศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป ก่อนจะเริ่มขั้นตอนการพิจารณาคดี กฎหมายกำหนดให้ไต่สวนมูลฟ้องเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลถูกกลั่นแกล้งจากการฟ้องโดยที่ไม่มีมูลเหตุความผิด เพราะการที่บุคคลถูกฟ้องเป็นจำเลยคดีอาญานั้นทำให้เกิดภาระหน้าที่ในการแก้ต่างคดีและเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้บุคคลถูกจับกุมควบคุมตัวโดยพลการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ด้วยการแกล้งฟ้องเป็นคดีอาญา นอกจากนั้นถ้าไม่มีการกลั่นกรองคดี อาจทำให้คดีขึ้นสู่ศาลโดยไม่จำเป็น อันส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้ ตามกฎหมายไทย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้แบ่งการไต่สวนมูลฟ้องเป็นสองกรณีคือ กรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ หรือผู้เสียหายฟ้องคดี ศาลจะมีคำสั่งให้ทำการไต่สวนมูลฟ้องทุกกรณี ในกรณีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ศาลจะสั่งให้มีการไต่สวนมูลฟ้องก่อนก็ได้ ทั้งนี้เนื่องจากการฟ้องโดยอัยการจะต้องมีการพิจารณาพยานหลักฐานโดยพนักงานอัยการจนพอเชื่อได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง |
PRESCRIBED BY LAW คำแปล : ตามที่กฎหมายกำหนด ความหมาย :
ตามที่กฎหมายกำหนดเป็นหลักกฎหมายมหาชนและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หมายถึง ในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้นจะต้องกระทำโดยบทบัญญัติกฎหมาย เพื่อให้การจำกัดนั้นมีความชอบธรรม ทั้งนี้เพราะกฎหมาย มีกระบวนการตรวจสอบและจัดทำขึ้นโดยสถาบันของสังคมที่สามารถตรวจสอบได้ และกฎหมายมีการประกาศใช้ทั่วไปทำให้ประชาชนสามารถรับรู้ได้ว่ารัฐได้ออกกฎเกณฑ์ควบคุมความประพฤติอย่างไรบ้าง หลักการนี้ปรากฏในอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนทั่วไป เช่น ICCPR, ECHR Article 8-10 ใน UDHR Article 28 ตราสารระหว่างประเทศได้กำหนดหลักความชอบด้วยกฎหมายในการจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยใช้ถ้อยคำต่างกัน แต่มีความหมายที่เหมือนกัน เช่น ICCPRข้อ 9 Liberty and Security of Person “เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”(in accordance with such procedure as are established by law”)หรือ ข้อ 12 Freedom of Movement บัญญัติโดยกฎหมาย (“provided by law”)ข้อ17 Privacy ไม่แทรกแซงโดยมิชอบโดยกฎหมาย (unlawful interference) ข้อ 18 Privacy ตามที่กฎหมายกำหนด(prescribed by law) ข้อ 19 Freedom of Expression บัญญัติโดยกฎหมาย (provided by law) ข้อ 21 Freedom of Assembly สอดคล้องกับกฎหมาย(conform with law) แนวคำวินิจฉัยของศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายไว้ว่า “กฎหมาย” หมายถึง กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง และมีสภาพบังคับที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ และไม่ว่าจะเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา หรือกฎหมายแพ่ง และไม่ว่าจะออกโดยองค์กรใด แต่แนวปฏิบัติไม่ถือว่าเป็นกฎหมายถ้าไม่มีสภาพบังคับทั่วไป |
PRINCIPLES FOR THE PROTECTION OF PERSONS MENTAL ILLNESS THE IMPROVEMENT OF MENTAL HEALTH CARE คำแปล : หลักการว่าด้วยการคุ้มครองผู้ป่วยทางจิตและการปรับปรุงการดูแลสุขภาพจิต ความหมาย :
หลักการและแนวปฏิบัติสำหรับการคุ้มครองและดูแลสุขภาพจิตและการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทางจิตเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับการรับรองโดยสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ใน ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) หลักการฯ ได้ย้ำถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของบุคคลที่ป่วยทางจิต และได้กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับสถาบัน และบุคลากรในสถานบำบัดโรคจิต หรือสถาบันที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้ป่วยทางจิตควรที่ต้องคำนึง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย และต้องเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วยทางจิต หลักการฯ ได้ย้ำว่า บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลสุขภาพจิตอย่างดีที่สุดเท่าที่จะมีได้ ซึ่งสิทธินี้จะต้องอยู่ในระบบการประกันสุขภาพของประชาชน ผู้ป่วยทางจิตจะต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างมีมนุษยธรรม โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุสุขภาพทางจิต การได้รับการปฏิบัติพิเศษหรือการมีมาตรการพิเศษเพื่อสนองความต้องการ หรือทำให้บุคคลที่ป่วยทางจิตมีสภาพดีขึ้น ไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ นอกจากนั้นหลักการฯ ได้กำหนดแนวทางในการดูแลรักษาผู้ป่วยทางจิตไว้ เช่น • ในการตัดสินว่าบุคคลใดเป็นผู้ป่วยทางจิตนั้นจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสากลจะต้องไม่บังคับให้บุคคลเข้าตรวจสอบทางการแพทย์เพื่อตัดสินว่าผู้นั้นเป็นผู้ป่วยทางจิต เว้นแต่เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายที่มีความชอบธรรม • การใช้ยาจะต้องเป็นไปตามจำเป็นเพื่อให้เกิดผลต่อสุขภาพที่ดีที่สุดเพื่อการบำบัดและวินิจฉัยโรคเท่านั้น ต้องไม่ทำเพื่อเป็นการลงโทษหรือเพื่อความสะดวกสบายของผู้อื่น • จะทดลองการรักษาทางการแพทย์โดยปราศจากความยินยอมไม่ได้เว้นแต่ผู้ป่วยไม่สามารถให้ความยินยอมได้ ความยินยอมของผู้ป่วยนั้นจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการให้ข้อมูลที่ถูกต้องรอบด้านเพื่อให้ผู้ป่วยตัดสินใจ • ต้องใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อให้ผู้ป่วยได้ทราบลักษณะของการรักษาและทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ • จะต้องไม่ใช้เครื่องพันธนาการหรือแยกขังผู้ป่วยโดยผู้ป่วยไม่ยินยอมเว้นแต่เป็นไปตามกระบวนการในการดูแลที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ • ผู้ป่วยจะต้องได้รับการเคารพสิทธิในความเป็นส่วนตัว และมีเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น • ประชาชนต้องสามารถเข้าถึงสถาบันดูแลสุขภาพจิตได้เช่นเดียวกับสถาบันสุขภาพอื่น • การรับผู้ป่วยทางจิตในชั้นแรกโดยผู้ป่วยไม่สมัครใจเข้ารับการพยาบาลจะต้องอยู่ในช่วงระยะเวลาอันสั้นเพื่อสังเกตการณ์และรักษาเบื้องต้นระหว่างรอตรวจสอบ • นักโทษหรือผู้ถูกควบคุมตัวจะต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตที่ดีที่สุดเท่าที่มีได้ |
PRIVATE PROSECUTION คำแปล : การฟ้องคดีอาญาโดยราษฎร / การฟ้องคดีอาญาโดยผู้เสียหาย ความหมาย :
การกล่าวหาบุคคลว่าทำผิดอาญาต่อศาลที่มีอำนาจรับคดีไว้พิจารณาซึ่งเป็นการกระทำโดยผู้เสียหายที่เกิดจากการกระทำความผิดอาญา หรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย หรือทนายของบุคคลดังกล่าวเพื่อให้มีการลงโทษบุคคลที่กระทำผิด กฎหมายกำหนดให้การฟ้องต้องทำเป็นหนังสือตามแบบที่เรียกว่า “คำฟ้อง” นอกจากนั้นกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญายังได้กำหนดเงื่อนไขสำหรับคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ว่า • จะต้องมีการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้มีการแกล้งฟ้องบุคคล • ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องก่อนรับคำฟ้อง อันเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นของคดี ซึ่งต่างจากคดีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องซึ่งศาลไม่จำเป็นต้องมีการไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ อัยการสามารถเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับผู้เสียหายได้และถ้าอัยการเห็นว่าผู้เสียหายกระทำการที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินคดี อัยการอาจขอให้ศาลสั่งให้ผู้เสียหายระงับการกระทำนั้นได้ |
PROBABLE CAUSE คำแปล : มีเหตุพอเชื่อได้ตามสมควร ความหมาย :
มาตรฐานในการใช้เหตุผลพิจารณาชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานเพื่อวินิจฉัยสั่งการ หรือตัดสินใจดำเนินการทางกฎหมายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เพื่อไม่ให้บุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจวินิจฉัยสั่งการหรือตัดสินใจสั่งการตัดสินใจโดยพลการอันอาจกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินความจำเป็น กฎหมายได้กำหนดให้ใช้มาตรฐานอย่าง “มีเหตุผลเชื่อได้ตามสมควร”กับการตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยได้กำหนดให้เจ้าพนักงานสอบสวนและศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงประกอบกับพยานหลักฐานและ “มีเหตุผลเชื่อได้ตามสมควร”ในกรณีต่อไปนี้ • ในการจับกุมการที่เจ้าพนักงานจะใช้อำนาจจับโดยไม่มีหมายจับจะต้องมีเหตุพอเชื่อได้ตามสมควรว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดขึ้นหรือจะก่อความผิดขึ้น • การค้นตัวบุคคลจะต้องมีเหตุพอเชื่อได้ตามสมควรว่าบุคคลที่จะถูกค้นตัวมีทรัพย์ที่เป็นความผิด หรือทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด หรือทรัพย์ที่จะใช้ก่อความผิด • ในการค้นเคหสถานโดยไม่มีหมายค้น เจ้าพนักงานจะต้องมีเหตุพอเชื่อได้ตามสมควร • การออกหมายจับและหมายค้นศาลจะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่เสนอโดยเจ้าพนักงานสอบสวนและมีเหตุพอเชื่อได้ตามสมควรว่าบุคคลที่ถูกขอให้จับกุมได้กระทำความผิด • การออกหมายขัง ที่จะไม่ให้มีการประกันตัวผู้ต้องหา ศาลจะต้องพิจารณาเหตุผลที่เจ้าพนักงานสอบสวนร้องขอและมีเหตุพอเชื่อได้ตามสมควรว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีไปข่มขู่พยาน ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือเหตุอื่น (ดู RELEASE ON BAIL) อนึ่ง มาตรฐานการพิจารณาการตัดสินวินิจฉัยสั่งการข้างต้นต่างกับมาตรฐานการวินิจฉัยตัดสิน หรือพิพากษาลงความเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดอาญา การจะพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดต้องเชื่อได้โดย “ปราศจากข้อสงสัย (Beyond Doubt)” ว่าจำเลยได้กระทำผิด |
PROBATION คำแปล : การภาคทัณฑ์ / การคุมประพฤติ ความหมาย :
1. การภาคทัณฑ์ คือ การลงโทษสถานเบา โดยการตำหนิหรือคาดโทษ ซึ่งอาจใช้กับบุคคลที่กระทำขัดต่อกฎหมาย ระเบียบ วินัย หรือคำสั่งของราชการ หรือขององค์กรเอกชน เช่น ระเบียบโรงเรียน และคำสั่งของนายจ้าง เป็นต้น 2. การคุมประพฤติ ใช้ในบริบทของกระบวนการยุติธรรมทางเลือกหมายถึง มาตรการกฎหมายที่ศาลอนุญาตให้ผู้กระทำความผิดที่ไม่ร้ายแรงรอการลงโทษ หรือนักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการพักการลงโทษ โดยต้องมารายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติตามที่ศาลกำหนด และมีกระบวนการสอดส่องดูแลเพื่อให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในทัณฑสถาน การคุมประพฤติแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ 1. งานสืบเสาะและพินิจ เป็นกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง ประวัติภูมิหลังทางสังคม และรายละเอียดต่าง ๆ ของจำเลยหรือผู้ต้องขังก่อนศาลพิจารณาพิพากษาคดีโดยพนักงานคุมประพฤติเป็นผู้ดำเนินการตามคำสั่งศาลแล้วนำข้อเท็จจริงมาวิเคราะห์ประเมินและทำรายงานพร้อมทั้งความเห็นเสนอต่อศาล เพื่อใช้ประกอบดุลยพินิจในการพิจารณาพิพากษาคดีว่าจะใช้มาตรการใดให้เหมาะสมต่อจำเลย 2. งานควบคุมและสอดส่อง เป็นกระบวนการติดตาม ควบคุมดูแลและช่วยเหลือผู้กระทำผิดที่ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานภายใต้เงื่อนไขการคุมประพฤติ เพื่อช่วยให้ผู้กระทำผิดสามารถปรับตัวอยู่ในชุมชนได้อย่างปกติ ตลอดจนป้องกันไม่ให้หวนกลับไปกระทำผิดซ้ำอีก ประเทศไทยนำระบบการคุมประพฤติมาใช้ครั้งแรกกับเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ใน พ.ศ. 2495 (ค.ศ 1952) และได้มีการบัญญัติเกี่ยวกับการคุมประพฤติผู้กระทำผิดทั่วไปไว้ในประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) แต่ไม่มีการนำมาใช้ในทางปฏิบัติจริง ต่อมาเมื่อมีพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมความประพฤติ ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) ขึ้น พร้อมกับมีการตั้งสำนักงานคุมประพฤติกลางขึ้นในกระทรวงยุติธรรม และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นกรมคุมประพฤติ สังกัดกระทรวงยุติธรรมใน พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) |
PRODUCTION WORKERS คำแปล : แรงงานชั้นกรรมาชีพ ความหมาย :
แรงงานชั้นกรรมาชีพ เป็นผู้ใช้แรงงานที่ไม่มีความชำนาญหรือที่เรียกว่า แรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Labour) แรงงานเหล่านี้ทำงานหรือให้บริการในอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้แรงงาน (Labour Intensive) มักได้รับค่าแรงต่ำ ไม่มีศักยภาพในการแข่งขันและอาจสูญเสียตำแหน่งงานได้ทันทีเมื่อนายจ้างไม่ต้องการ นอกจากนั้นนายจ้างอาจตัดหรือลดค่าแรงได้ โดยผู้ใช้แรงงานไม่สามารถต่อรองได้ หากไม่มีกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แรงงานชั้นกรรมาชีพ จึงมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ต่ำ ขาดความสามารถในทางเศรษฐกิจ ขาดโอกาสในการศึกษาและการพัฒนาผู้ประกอบการมีอำนาจต่อรองสูงกว่าสามารถเลือกใช้แรงงานหรือการบริการภายนอกได้เสมอ จัดเป็นปัญหาทางสังคมที่สืบเนื่องมาจากความยากจน และการไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในด้านการเข้าถึงการศึกษาโดยตรง |
PROGRESSIVE REALISATION คำแปล : การทำให้เป็นจริงอย่างมีความคืบหน้า ความหมาย :
การทำให้เป็นจริงอย่างมีความคืบหน้า เป็นความคิดรวบยอดของพันธกรณีของรัฐภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม(ICESCR) ทั้งนี้ เนื่องจากความจริงที่ว่าสิทธิด้านนี้ไม่สามารถทำให้สัมฤทธิผลหรือทำให้เป็นจริงได้ในระยะเวลาอันสั้นจึงต้องทำให้ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ในแง่นี้ภาระหน้าที่ของรัฐภาคีภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมจึงต่างจากกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนทางด้านสิทธิเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม (Committee on Economic, Social and Cultural Rights) ได้ให้ความเห็นใน General CommentNo.3 ว่า “การทำให้สิทธิเป็นจริง” ซึ่งต้องใช้เวลานั้นไม่ควรตีความไปในทางที่ว่ารัฐไม่ต้องมีพันธะหน้าที่เท่าใดนัก ในทางตรงกันข้ามรัฐภาคีสามารถโอนอ่อนในการตอบสนองต่อพันธกรณีและสามารถปรับมาตรการ หรือกิจกรรมที่จะทำให้สิทธินั้นเกิดสัมฤทธิผลขึ้นตามสภาพความเป็นจริงของสังคมของตน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เน้นว่าเป็นความเข้าใจผิดที่ว่า ICESCR ไม่ได้ก่อพันธกรณีให้รัฐต้องปฏิบัติทันที เพราะหน้าที่ในการ “ดำเนินการ (Take Steps)” นั้นเกิดทันที เช่น การปกป้องคุ้มครองอย่างไม่มีการเลือกปฏิบัติ หรือการจัดทำแผนหรือโครงการต่างๆ เพื่อนำไปสู่การทำให้สิทธินั้นเป็นจริงขึ้นมา และต้องแยกจาก “ผล” ของการที่ได้ดำเนินการ |
PROGRESSIVE REALISATION OF THE RULE OF LAW คำแปล : การทำให้หลักนิติธรรมเกิดขึ้นจริงอย่างคืบหน้า ความหมาย :
การทำให้หลักนิติธรรมเกิดขึ้นจริงอย่างก้าวหน้า เป็นแนวคิดที่ว่าการพัฒนาหลักนิติธรรมในรัฐต่างๆต้องกระทำไปอย่างต่อเนื่องให้มีพัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญ แม้รัฐทั้งหลายจะมีพื้นฐานทางสังคมแตกต่างกัน แต่รัฐสามารถริเริ่มและพัฒนารากฐานทางกฎหมายและนิติธรรมไปตามกระบวนการได้ อาทิ การมีรัฐธรรมนูญที่ประกันสิทธิ การมีกลไกตรวจตราการละเมิดสิทธิ การบังคับตามสิทธิได้ในชั้นศาล อันจะมีส่วนส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆของรัฐต้องละเว้นการละเมิดสิทธิ และตระหนักถึงการพัฒนาสิทธิของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น |
PROSE –VERBAL (French) คำแปล : บันทึกการเจรจา ความหมาย :
บันทึกการเจรจาเดิมหมายถึงการสรุปขั้นตอนและผลการประชุมทางการทูต แต่ในปัจจุบันหมายถึงบันทึกสาระสำคัญ ข้อตกลงระหว่างภาคี การบันทึกการเจรจา นอกจากนี้ยังใช้บันทึกการแลกเปลี่ยน หรือการให้สัตยาบัน การทำข้อตกลงทางการบริหารที่ไม่สำคัญนัก หรือกรณีการเปลี่ยนแปลงอนุสัญญาเล็กๆ น้อยๆ ทั่วๆไป ที่ไม่มีการให้สัตยาบัน |
PROSECUTOR / PUBLIC PROSECUTOR คำแปล : อัยการ ความหมาย :
เจ้าพนักงานของรัฐที่ทำหน้าที่ฟ้องจำเลยในคดีอาญาต่อศาล และเป็นผู้รับผิดชอบในคดีที่ฟ้องในฐานะที่เป็นโจทก์ ในกระบวนการพิจารณาความตลอดทั้งกระบวนการ เกือบทุกประเทศกำหนดให้การฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาเป็นหน้าที่ของรัฐโดยมีอัยการทำหน้าที่เสมือนเป็นทนายของประชาชนส่วนในประเทศอังกฤษเดิมการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาถือว่าเป็นการพิพาทระหว่างบุคคลที่เป็นคู่ความ การฟ้องคดีอาญาจะดำเนินโดยบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญา ต่อมาใน ค.ศ. 1985(พ.ศ. 2528) ได้ตั้งสำนักงานอัยการหลวง (Crown Prosecution Service) ขึ้นทำหน้าที่ฟ้องคดีอาญา อย่างไรก็ตามบุคคลที่ได้รับความเสียหายยังคงมีอำนาจฟ้องคดีได้เช่นกัน ดังนั้นคำว่า “Prosecutor” ในระบบกฎหมายอังกฤษจึงหมายถึงอัยการ หรือทนายความของผู้เสียหายที่ฟ้องบุคคลเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาล และเรียกการฟ้องคดีอาญาโดยราษฎรว่า “Private Prosecution” สำหรับประเทศไทย ระบบกฎหมายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้รับอิทธิพลจากประเทศอังกฤษ ดังนั้นนอกจากอัยการแล้วผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีอาญาได้ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมาย (ดู Private Prosecution) |
PROSECUTOR- GENERAL คำแปล : อัยการสูงสุด ความหมาย :
บุคคลที่ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานในฝ่ายบริหารมีหน้าที่ให้คำปรึกษากฎหมายแก่รัฐ และรับผิดชอบงานเกี่ยวกับการดำเนินคดีแทนรัฐ(ดู SOLICITOR-GENERAL) คำนี้มักใช้ในประเทศที่มีระบบกฎหมายแบบซีวิลลอว์ ส่วนในประเทศที่มีระบบกฎหมายแบบคอมมอนลอว์จะใช้คำว่า Solicitor-General ส่วนประเทศไทยใช้คำว่า Attorney-General |
PROTECT, DUTY TO / OBLIGATION TO คำแปล : ภาระหน้าที่ / พันธกรณี ในการปกป้องคุ้มครอง ความหมาย :
คำว่า ภาระหน้าที่ (Duty)หรือพันธกรณี (Obligation) ในการปกป้องคุ้มครอง เป็นหน้าที่หนึ่งในภาระหน้าที่สามด้านตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่มีต่อปัจเจกชน หรือกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้ทรงสิทธิ คือ การเคารพ (Respect)การปกป้องคุ้มครอง (Protect) และการทำให้บรรลุผล (Fulfil) รัฐในฐานะที่เป็นผู้มีหน้าที่ (Duty Bearer) มีภาระหน้าที่ต้องปกป้องคุ้มครองไม่ให้บุคคลที่เป็นผู้ทรงสิทธิ (Right Holder) ถูกละเมิดจากบุคคลที่สาม ซึ่งอาจเป็นบุคคลธรรมดา องค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ หรือจากนโยบายรัฐเอง ดังนั้นรัฐจึงต้องมีนโยบาย ออกกฎหมาย หรือสร้างค่านิยม หรือความรู้ความเข้าใจเพื่อไม่ให้กลไก หรือบุคคลที่อยู่ภายในอำนาจรัฐละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น หน้าที่ในการคุ้มครองในแง่ของสิทธิทางด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง อย่างเช่นการมีกฎหมายอาญาบัญญัติให้การฆ่า หรือทำร้ายร่างกายเป็นความผิด และการมีเจ้าพนักงานตำรวจบังคับใช้กฎหมาย และมีศาลรับคำฟ้องในกรณีที่บุคคลถูกละเมิดสิทธิในชีวิต เพื่อการบังคับให้การคุ้มครองปกป้องบังเกิดผล ภาระหน้าที่ในการคุ้มครองในแง่ของสิทธิทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เช่น สิทธิในอาหาร รัฐออกกฎหมาย กำหนดมาตรฐานอาหารเพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่จะได้รับอาหารที่มีคุณภาพ เป็นต้น |
สงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons • ดูรายละเอียดสัญญา
© 2018 ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ